วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิชา ฐานข้อมูลเบื้องต้น

การบ้านบทที่ 5  วันที่  8 ธ.ค. 53

1. องค์ประกอบที่สำคัญของแบบจำลองอี-อาร์ มีอะไรบ้าง
ตอบ  องค์ประกอบที่สำคัญของแบบจำลอง อี-อาร์ มี 3 ส่วน คือ
         1.  เอนทิตี้ (Entity) คือ สิ่งของหรือวัตถุที่สามารถบอกความแตกต่างจากเอนทิตี้อื่น ๆ ได้
         2.  แอททริบิวต์ (Attribute) คือ สิ่งที่ใช้อธิบายถึงคุณลักษณะของเอนทิตี้หนึ่ง ๆ
         3.  ความสัมพันธ์ (Relationship) คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้ ซึ่งเป็นไปตามชนิดของความสัมพันธ์   


2. จงอธิบายความหมายและสัญลักษณ์ของคำต่อไปนี้
     2.1 เอนทิตี้
           ตอบ Entity เป็นสิ่งของหรือวัตถุที่สามารถบอกความแตกต่างจากเอนทิตี้อื่น ๆ ได้ สัญลักษณ์จะใช่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า และมีชื่อกำกับภายในเป็นคำนาม
     2.2 รีเลชั่นชิพ
           ตอบ Relationship เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้ ซึ่งเป็นไปตามชนิดของความสัมพันธ์ โดยความสัมพันธ์จะนำเสนอด้วยเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงในเอ็นทิตี้ การตั้งชื่อความสัมพันธ์จะใช้คำกริยาที่แสดงการกระทำ สัญลักษณ์ใช้สี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด และมีการตั้งชื่อกำกับภายในโดยใช้คำกริยา
     2.3 แอตทริบิวต์
           ตอบ Attribute เป็นสิ่งที่ใช้อธิบายถึงคุณลักษณะของเอนทิตี้หนึ่ง ๆ สัญลักษณ์ใช้วงรีแทนแอตทริบิวต์หนึ่งแอตทริบิวต์ และมีชื่อกำกับภายในที่เป็นคำนาม
     2.4 คอมโพสิตแอตทริบิวต์
           ตอบ Composite Attribute เป็นแอตทริบิวต์ที่สามารถแบ่งย่อยได้อีก
     2.5 แอตทริบิวต์ที่มีหลายค่า
           ตอบ Mutivalued Attribute เป็นแอตทริบิวต์ที่สามารถมีได้หลายค่า เช่น คนหนึ่งอาจมีเบอร์โทรศัพท์ได้หลายเบอร์ สัญลักษณ์จะใช้วงรี 2 วงซ้อนกัน
     2.6 ดีไรฟต์แอตทริบิวต์
           ตอบ คือ แอตทริบิวต์ที่ได้มาจากการคำนวณแอตทริบิวต์อื่น


3. คอมโพสิตเอนทิตี้มีความสำคัญอย่างไร ในการออกแบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
ตอบ  คอมโพสิตเอนทิตี้ สร้างขึ้นเพื่อแปลงความสัมพันธ์แบบ M:N เป็นแบบ 1:N โดยการนำเอาคีย์หลักของทั้ง 2 เอนทิตี้ มารวมกับแอทริบิวต์อื่น ๆ ที่สนใจ


4. เอนทิตี้อ่อนแอคืออะไร มีคุณสมบัติอย่างไร
ตอบ Weak Entity คือ เอนทิตี้ที่ไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ โดยปราศจากเอนทิตี้ที่มีความสัมพันธ์อยู่ และจะมีคีย์หลักจากการสืบทอดเอนทิตี้ที่พึ่งพิงอยู่ มาใช้เป็นคีย์หลักหรือส่วนหนึ่งของคีย์หลัก

5.  จากตารางข้อมูลที่กำหนดให้
      5.1 จงเขียน E-R Diagram แสดงความสำคัญของตาราง
       ขั้นที่ ศึกษาข้อกำหนดของระบบงาน
       ข้อมูลหนังสือแต่ละรายการ ข้อมูลที่จัดเก็บประกอบด้วย รหัสหนังสือ
, ชื่อหนังสือ, รหัสผู้แต่ง, รหัสสำนักพิมพ์
       ข้อมูลผู้แต่งหนังสือ ข้อมูลที่จัดเก็บประกอบด้วย รหัสผู้แต่ง
, ชื่อผู้แต่ง
       ข้อมูลสำนักพิมพ์ ข้อมูลที่จัดเก็บประกอบด้วย รหัสสำนักพิมพ์
, ชื่อสำนักพิมพ์, ที่อยู่, โทรศัพท์
             ขั้นที่ กำหนดเอนทิตี้ (Entity)               
                        ผู้แต่ง      หนังสือ      สำนักพิมพ์
ขั้นที่ 3 กำหนดความสัมพันธ์ของแต่เอนทิตี้ (Entity)-  หนังสือแต่ละเล่มจะถูกพิมพ์จากสำนักพิมพ์ใดสำนักพิมพ์หนึ่งเท่านั้นแต่ละสำนักพิมพ์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้หลายรายการ-  หนังสือแต่ละเล่มจะมีผู้แต่งได้เพียงคนเดียวเท่านั้นแต่ผู้แต่งแต่ละคนสามารถจะแต่งหนังสือได้หลายเล่ม

             
E –R Diagram ที่สมบูรณ์

5.2 จงบอกว่าแต่ละตารางมี Field ใดเป็น Primary Key
 ตอบ  - ในตารางผู้แต่งจะมี  Field รหัสผู้แต่ง เป็น Primary  Key
         - ในตารางสำนักพิมพ์จะมี  Field  รหัสสำนักพิมพ์ เป็น  Primary  Key
         
- ในตารางหนังสือจะมี Field รหัสหนังสือ เป็น Primary  Key
5.3 สำหรับตารางที่มี Foreign  Key  จงบอกว่าเป็น Field ใดและมีความสัมพันธ์กับ Field ใดในตารางใด
ตอบ  จากฐานข้อมูลของระบบหนังสือจะประกอบไปด้วยตาราง
3 ตาราง  ซึ่งแต่ละตารางจะมี Field ที่เชื่อมโยงถึงกัน 3 ตาราง
               
-  ตารางผู้แต่ง (รหัสผู้แต่ง, ชื่อผู้แต่ง)
                
-  ตารางสำนักพิมพ์ (รหัสสำนักพิมพ์, ชื่อสำนักพิมพ์, โทรศัพท์)
               
-  ตารางหนังสือ (รหัสหนังสือ, ชื่อหนังสือ, รหัสผู้แต่ง, รหัสสำนักพิมพ์)

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิชา ฐานข้อมูลเบื้องต้น

การบ้านบทที่ 4   วันที่ 24 พ.ย. 53


1. โครงสร้างข้อมูลเชิงสัมพันธ์ประกอบด้วยอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ โครงสร้างข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ประกอบไปด้วย Attribute ที่แสดงคุณสมบัติของ Relation โดย Relation ต่าง ๆ ได้ผ่านกระบวนการทำให้เป็นบรรทัดฐาน(Normalized) ในระหว่างการออกแบบ เพื่อลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล


2. คุณสมบัติของการจัดเก็บข้อมูลของรีเลชั่น มีอะไรบ้าง
ตอบ 1. ข้อมูลในแต่ละแถวจะไม่ซ้ำกัน
        2. การเรียงลำดับของข้อมูลในแต่ละแถวไม่เป็นสาระสำคัญ
        3. การเรียงลำดับของ Attribute จะเรียงลำดับก่อนหลัง อย่างไรก็ได้
        4. ค่าของข้อมูลในแต่ละ Attribute ของ Tuple หนึ่ง ๆ จะบรรจุข้อมูลได้เพียงค่าเดียว
        5. ค่าของข้อมูลในแต่ละ Attribute จะบรรจุค่าของข้อมูลในประเภทเดียวกัน


3. รีเลชั่นประกอบด้วยคีย์ประเภทต่าง ๆ อะไรบ้าง จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบประเภทคีย์ ดังกล่าว
ตอบ  1. คีย์หลัก (Primary Key) เป็น Attribute ที่มีคุณสมบัติของของมูลที่มีค่าไม่ซ้ำกัน หรือเป็นเอกลักษณ์ เช่น รหัสประจำตัวนักศึกษา สามารถเป็นคีย์หลักได้ เนื่องจากนักศึกษาทุกคนจะมีรหัสประจำตัวไม่เหมือนกัน
          2. คีย์ผสม (Composite Key) เป็นการนำฟิลด์ 2 ฟิลด์ขึ้นไปมารวมกัน เพื่อให้มีคุณสมบัติเป็นคีย์หลัก เช่น รีเลชั่นใบส่งของ (Invoice) มีคีย์ คือ Attribute เลขที่ใบส่งของ (InvNo) และ Attribute รหัสสินค้า (ProdNo) เพราะใบส่งของแต่ละใบจะมีรายการสินค้าบรรจุในใบส่งของได้มากกว่า 1 รายการ ดังนั้นถ้าใช้ Attribute เลขที่ใบส่งของเพียงตัวเดียวจะไม่สามารถแยกความแตกต่างแต่ละ Tuple ได้
         3. คีย์คู่แข่ง (Candidates Key) คือ Attribute ที่สามารถถูกกำหนดให้เป็นคีย์ในรีเลชั่นมากกว่า 1 Attribute เช่น รีเลชั่นพนักงาน สามารถเลือก Attribute ที่สามารถใช้คีย์ได้ 2 ทางเลือก คือ
                 ทางเลือกที่ 1  ให้  Attribute รหัสพนักงานเป็นคีย์
                 ทางเลือกที่ 2  ให้  Attribute เลขที่บัตรประชาชนเป็นคีย์
        4. คีย์นอก (Foreign Key) เป็นคีย์ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างรีเลชั่น อาจเป็น Attribute หรือกลุ่มของ Attribute ในรีเลชั่นหนึ่ง ซึ่งค่าของ attribute นั้นจะเป็นคีย์หลักของอีกรีเลชั่นหนึ่ง หรือรีเลชั่นเดียวกัน หรืออาจเป็นค่าว่าง (Null Value) ก็ได้


4. Null หมายถึงอะไรใน Relational Database
ตอบ Null หมายถึง ไม่ทราบค่าข้อมูลที่แน่ชัด สามารถกำหนดให้ค่าของคอลัมน์ใด ๆ เป็น Null ได้ ยกเว้นคอลัมน์ที่เป็นคีย์หลัก เพราะจะไม่สามารถนำคีย์หลักมาใช้เข้าถึงข้อมูลในแต่ละแถวได้


5. เหตุใดจึงต้องมีการนำ Integrity rule มาใช้ในฐานข้อมูล
ตอบ เพื่อเป็นการอ้างอิงข้อมูลจากความสัมพันธ์อื่น ซึ่งค่าของคีย์นอกต้องมาจาก คีย์หลักจากข้อมูลที่เกี่ยวข้องเท่านั้น


6. ความสัมพันธ์ระหว่างรีเลชั่นมีกี่ประเภท อะไรบ้าง จงยกตัวอย่างประกอบ
ตอบ   ความสัมพันธ์ระหว่างรีเลชั่น แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
                1. ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง เช่น อาจารย์หนึ่งคนสามารถเป็นคณะบดีได้หนึ่งคณะ ในขณะเดียวกัน คณะแต่ละคณะจะมีอาจารย์ที่เป็นคณะบดีได้หนึ่งคน 
                2. ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม เช่น อาจารย์หนึ่งคนจะสามารถมีนักศึกษาที่ปรึกษาได้หลายคน ในขณะเดียวกันนักศึกษาแต่ละคนต้องมีอาจารย์ที่ปรึกษาคนใดคนหนึ่งเท่านั้น
               3. ความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม เช่น นักศึกษาหนึ่งคนสามารถลงทะเบียนเรียนได้หลายวิชา ในขณะเดียวกัน แต่ละรายวิชาสามารถรับนักศึกษาที่ลงทะเบียนได้หลายคน

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิชา ฐานข้อมูลเบื้องต้น

การบ้านบทที่ 3 ประจำวันที่ 17 พ.ย. 53

1. การแบ่งสถาปัตยกรรมของฐานข้อมูลออกเป็น 3 ระดับ มีไว้เพื่อวัตถุประสงค์ใดเป็นสำคัญ
ตอบ เพื่อให้เกิดความเป็นอิสระของข้อมูลในการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในระดับที่สูงกว่า จะไม่มีผลกระทบกับข้อมูลในระดับที่ต่ำกว่า


2. ความเป็นอิสระของข้อมูลมีบทบาทสำคัญอย่างไรต่อการจัดการฐานข้อมูล จงอธิบาย
ตอบ ความเป้นอิสระของข้อมูลทำให้โปรแกรมสามารถเรียกใช้ข้อมูลด้วยภาษาต่างกัน เช่น โปรแกรมหนึ่งสามารถเรียกใช้ข้อมูลได้ด้วยภาษาที่ต่างกัน นอกจากนี้ยังรวมถึงการที่โปรแกรมสามารถเป็นข้อมูลได้หลายรูปแบบที่แตกต่างกัน


3. ปัญหาที่สำคัญของ Hierarchical Model คืออะไร และเหตุใด Hierarchical Model จึงไม่สามารถลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้ทั้งหมด
ตอบ Hierarchical Model เป็นฐานข้อมูลที่นำเสนอข้อมูลและความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในรูปแบบของ โครงสร้างต้นไม้ Hierarchical Model มีโอกาสเกิดความซ้ำซ้อนมากที่สุดเมื่อเทียบกับระบบฐานข้อมูลโครงสร้างอื่น หากข้อมูลมีจำนวนมาก การเข้าถึงข้อมูลจะใช้เวลานานในการค้นหา

4. เหตุใด Network Model ซึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้จึงไม่เหมาะกับการนำมาใช้งาน
ตอบ เนื่องจากความสัมพันธ์ข้อมูลที่เชื่อมโยงกันทำให้ยากต่อการใช้งาน ผู้เข้าใช้ต้องเข้าใจโครงสร้างของฐานข้อมูล เหมาะสำหับโปรแกรมเมอร์ที่คุ้นเคย

5. สิ่งที่ทำให้ Relational Model ได้รับความนิยมอย่างมากคืออะไร จงอธิบาย 
ตอบ เหมาะสำหรับงานที่เลือกข้อมูลแบบมีเงื่อนไขหลายคีย์ฟิลด์ข้อมูล และป้องกันข้อมูลถูกทำลายแก้ไขได้เป็นอย่างดี การเลือกดูข้อมูลทำได้ง่าย ความซับซ้อนของข้อมูลระหว่างแฟ้มต่าง ๆ น้อยมาก  

วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิชาฐานข้อมูลเบื้องต้น

การบ้านบทที่ 1  วันที่ 10 พ.ย. 53

1. จงสรุปแนวคิดในการจัดการข้อมูลจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
     ตอบ จากปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการจัดการข้อมูลแบบไฟล์ทำให้เกิดแนวคิดในการจัดการข้อมูลแบบใหม่ ซึ่งแนวคิดเบื้องต้นของฐานข้อมูลคือ การนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันมาจัดเก็บลงในที่เดียวกัน โดยฐานข้อมูลดังกล่าวจะถูกควบคุมโดยซอฟต์แวร์ชุดหนึ่ง แทนที่จะใช้งานแฟ้มข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่กระจัดกระจายและมีการดูแลโดยผู้ใช้กลุ่มต่าง ๆ กัน เป้าหมายสูงสุดของแนวความคิดเกี่ยวกับฐานข้อมูลคือ การที่ข้อมูลแต่ละชุดถูกป้อนและจัดเก็บเพียงครั้งเดียว ผู้ใช้ที่ได้รับสิทธิ์เท่านั้นที่สามารถเรียกใช้ข้อมูลที่ถูกจัดเก็บได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว รวมทั้งการที่ข้อมูลเป็นอิสระจากโปรแกรมประยุกต์เฉพาะกิจใด ๆ โดยการบริหารฐานข้อมูลจะอาศัยซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า ระบบบริหารจัดการฐานข้อมูล (DBMS : Database Management system ) เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อระหว่างโปรแกรมกับฐานข้อมูล
2. โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลประกอบด้วยอะไรบ้าง จงอธิบาย
     ตอบ โครงสร้างของแฟ้มข้อมูล ประกอบไปด้วย
          - บิต (bit) ประกอบไปด้วยเลขฐานสอง ใช้แทนค่าหน่วยที่เล็กที่สุดของข้อมูลคอมพิวเตอร์ โดยหน่วยที่ใช้จะมีค่า 0 และ 1 เท่านั้น
          - ไบต์ (byte) คือการนำเอาบิตหลาย ๆ บิตมาเรียงต่อกัน เพื่อให้ได้อักขระ 1 ตัว
          - ฟิลด์ (field) คือการนำเอาอักขระตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไป มารวมกันเพื่อให้เกิดความหมาย
         - เรคคอร์ด (record) คือกลุ่มของฟิลด์ที่มีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ ใน 1 เรคคอร์ดจะประกอบด้วยฟิลด์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกันเป็นชุด
          - ไฟล์ (file) คือกลุ่มของเรคคอร์ดที่สัมพันธ์กัน ซึ่งในหนึ่งจะไฟล์จะต้องมีอย่างน้อย 1 เรคคอร์ด เพื่อการใช้งานข้อมูล
          
3. การเก็บข้อมูลแบบแฟ้มข้อมูลมีข้อจำกัดอย่างไร จงอธิบาย
    ตอบ การจัดเก็บแฟ้มข้อมูลจะถูกจัดเก็บลงในคอมพิวเตอร์เป็นอิสระ โดยจะสร้างแฟ้มข้อมูลภายในหน่วยงานของตนเอง ทำให้เกิดข้อจำกัดหรือปัญหา ดังนี้
          1. ข้อมูลมีการเก็บแยกจากกัน (Separation and Isolation of Data) ในแต่ละหน่วยงาน ทำให้เป็นการยากในการเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง
          2. ข้อมูลมีความซ้ำซ้อน (Data Redundancy) ทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บข้อมูลและเสียเนื้อที่ในการเก็บข้อมูล
          3. ข้อมูลมีความขึ้นต่อกัน (Data Dependence) ระหว่างโปรแกรมกับโครงสร้างแฟ้มข้อมูลทำให้ต้องแก้ไขโปรแกรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
          4. มีรูปแบบที่ไม่ตรงกัน (Incompatible File Formats) เนื่องจากแฟ้มข้อมูลถูกสร้างด้วยโปรแกรมที่ใช้ภาษาที่ต่างกัน ทำให้โครงสร้างข้อมูลต่างกัน และเป็นการยากในการนำแฟ้มข้อมูลทั้งสองมาประมวลผลร่วมกัน 
          5. รายงานต่าง ๆ ถูกกำหนดไว้อย่างจำกัด เนื่องจากรูปแบบของรายงานต่าง ๆ ถูกกำหนดรูปแบบที่แน่นอนลงในโปรแกรม ถ้าต้องการรายงานใหม่ต้องเขียนโปรแกรมเพิ่ม 
4. ฐานข้อมูลคืออะไร และยกตัวอย่างฐานข้อมูลที่รู้จักมา 2 ระบบ
     ตอบ ฐานข้อมูล (database) คือกลุ่มของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน นำมาเก็บรวบรวมเข้าไว้ด้วยกันอย่างมีระบบและข้อมูลที่ประกอบกันเป็นฐานข้อมูลนั้น  ต้องตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งานขององค์กรด้วยเช่นกัน ตัวอย่างฐานข้อมูล เช่น 
     ฐานข้อมูลของบริษัท ประกอบไปด้วยกลุ่มข้อมูลต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับบริษัท เช่น ข้อมูลพนักงาน ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลสินค้า ข้อมูลใบสั่งสินค้า เป็นต้น 
      ฐานข้อมูลของมหาวิทยาลัย ประกอบไปด้วยข้อมูลต่าง ๆ เช่น ข้อมูลนักศึกษา ข้อมูลอาจารย์ ข้อมูลรายวิชา ข้อมูลการลงทะเบียน เป็นต้น
 
5. ฐานข้อมูลช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการเก็บข้อมูลในแฟ้มข้อมูลอย่างไร
     ตอบ ฐานข้อมูลช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการเก็บข้อมูล ดังนี้
          1. ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล เมื่อมีข้อมูลหลายที่ แต่ละหน่วยงานจัดเก็บข้อมูลเอง อาจมีข้อมูลในส่วนที่เหมือนกันหลายส่วน เมื่อนำคอมพิวเตอร์มาใช้จัดเก็บข้อมูลให้อยู่ในรูปของฐานข้อมูลจะทำให้การเก็บข้อมูลไม่เกิดการซ้ำซ้อน
          2. ทำให้เกิดความสอดคล้องของข้อมูล เมื่อมีการแก้ไขข้อมูลที่ใดที่หนึ่ง ข้อมูลอีกที่หนึ่งก็จะถูกเปลี่ยนไปด้วย
          3. ข้อมูลสามารถใช้ร่วมกันได้ การเก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลเดียวกัน จะสามารถกำหนดรูปแบบที่แน่นอนได้และสามารถใช้ร่วมกับหน่วยงานอื่นได้ เพราะมีมาตรฐานเดียวกัน
          4. มีความปลอดภัย การที่นำข้อมูลมารวมอยู่ในที่เดียวกัน สามารถวางมาตรฐานในการแก้ไขและป้องกันได้ดีกว่า จึงไม่มีการรั่วไหลของข้อมูลไปสู่ผู้ที่ไม่ควรรู้
          5. สามารถขจัดความขัดแย้งในการใช้ข้อมูลร่วมกัน ก่อนที่จะมีการจัดเก็บข้อมูลต้องมีการตกลงรูปแบบการเก็บอย่างเป็นเอกฉันท์เสียก่อน ทำให้ไม่เสียเวลาในการพัฒนาระบบฐานข้อมูล

6. ระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) คืออะไร มีส่วนสำคัญต่อฐานข้อมูลอย่างไร
     ตอบ ระบบการจัดการฐานข้อมูล (Database Management System) คือ การบริหารแหล่งข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมไว้ที่ศูนย์กลาง เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ของโปรแกรมประยุกต์อย่างมีประสิทธิภาพ ในอดีตการเก็บข้อมูลมักจะเป็นอิสระต่อกัน ไม่มีการเชื่อมโยงของข้อมูล จึงทำให้เกิดแนวความคิดในการรวมแฟ้มข้อมูลเข้าด้วยกันเเล้วเก็บไว้ที่ศูนย์กลางในลักษณะฐานข้อมูล (Database) จึงทำให้เกิดระบบการจัดการฐานข้อมูล (DBMS) ซึ่งต้องอาศัยโปรแกรมเฉพาะในการสร้างและบำรุงรักษาฐานข้อมูลและสามารถที่จะให้ผู้ใช้ประยุกต์ใช้กับธุรกิจส่วนตัว ได้โดยการดึงข้อมูล (Retrieve) ขึ้นมาเเล้วใช้โปรแกรมสำเร็จรูปอื่น สร้างงานขึ้นมาโดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่ในฐานข้อมูล
 
7. ยกตัวอย่างฐานข้อมูลกับการดำเนินชีวิตประจำวัน
     ตอบ ตัวอย่างการจัดเก็บข้อมูลในร้านขายยา ซึ่งเก็บข้อมูลเกี่ยวกับยาแต่ละชนิดไว้ในแต่ละไฟล์ และตั้งชื่อไฟล์ให้ตรงตามชื่อยา โดยแยกยาออกเป็นประเภทต่าง ๆ ไว้ในแฟ้มต่าง ๆ ข้อมูลที่เก็บไว้ในไฟล์ได้แก่ วันที่สั่งซื้อ ผู้ผลิต ส่วนประกอบหลักของยา อาการแพ้ยา ราคาซื้อ ราคาขาย จำนวนที่ซื้อมา จำนวนที่เหลืออยู่ เป็นต้น ในการนำข้อมูลของยาตามชื่อและตามประเภทมาใช้ เพียงแค่เปิดไฟล์ให้ถูกต้องตามที่ต้องการก็จะพบข้อมูลของยาชนิดนั้น
 

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิชา การสื่อสารข้อมูลทางธุรกิจและการจัดการเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ตอนเรียน A1

คำศัพท์เกี่ยวกับระบบเครือข่าย
Modem : Shot for modulator-demodulator is an electronic device that converts a computer's digital signals into specific frequencies to travel over telephone or cable television line. At the destination, the receiving modem modulator the frequecies back into digital data. Computer use modems to communicate with one another over a network.
Modem : อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณคอมพิวเตอร์  ให้สามารถส่งสัญญาณผ่านสายโทรศัพท์ เพื่อติดต่อสื่อสารกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้ โมเดมจะมีทั้งชนิดเชื่อต่อภายนอก (External Modem) และชนิดที่เป็นการ์ดอยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์


Online : The condition of being connected to a network of computer or other devices. The term is frequently used to describe someone who is currently connected to the internet. Deprecated spellings are on-line
Online : การเชื่อมต่อโมเด็มหรือเครือข่ายไปยังคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจใช้ตัวกลางในการส่งข่าวสารเป็นแบบมีสายหรือไร้สายก็ได้

Skype  
     คือ software สำหรับใช้งานผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ส่งไฟล์ข้อมูล chat ประชุมพร้อมกัน 5 คน และอื่น ๆ อีกมากมาย
        โปรแกรม skype เป็นโปรแกรมที่ใช้เทคโนโลยี VOIP หรือ Voice Over IP ซึ่งเป็นการพูดคุยในลักษณะของการพูดคุยผ่านโทรศัพท์ โดยผ่านระบบอินเตอร์เน็ต และยังสามารถพูดไปเห็นหน้าไปได้อีกด้วย
ความต้องการขั้นต่ำของระบบการติดตั้ง
- Window XP หรือ Window 2000
- 400 MHz processer CPU
- RAM 128 MB
- พื้นที่ว่างใน Hardisk 15 MB
- การ์ดเสียง,ลำโพง,ไมโครโฟนและกล้อง webcam
- การเชื่อมต่อทางระบบอินเตอร์เน็ต

Topology  
      เป็นลักษณะทางกายภาพของระบบเครือข่าย ซึ่งหมายถึงลักษณะของการเชื่อมโยงสายสื่อสารเข้ากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ภายในเครือข่ายด้วยกันเอง topology ของเครือข่าย LAN แต่ละแบบมีความเหมาะสมในการใช้งานแตกต่างกันออกไป รูปแบบของ topology ของเครือข่ายมีดังต่อไปนี้
          1. Topology แบบบัส(BUS) เป็นรูปแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์จะถูกเชื่อมต่อกันโดยผ่านสายสัญญาณแกนหลักที่เรียกว่า BUS หรือ Backbone คือสายรับส่งสัญญาณข้อมูลหลักใช้เป็นทางเดินของทุกเครื่องในระบบเครือข่ายและมีสายแยกย่อยกันออกไปในแต่ละจุด
          2. topology แบบวงแหวน (RING) เป็นรูปแบบที่เครื่องคอมพิว เตอร์ทุกเครื่องในระบบเครือข่าย ทั้งที่เป็นผู้ให้บริการ(Server) และผู้ขอใช้บริการ (Client) ทุกเครื่องจะถูกเชื่อมต่อกันเป็นวงกลม ข้อมูลข่าวสารที่ส่งระหว่างกัน จะไหลวนอยู่ในเครือข่ายไปในททิศทางเดียวกัน
          3. Topology แบบดาว (STAR) เป็นรูปแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันในเครือข่าย ต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ตัวกลางที่เรียกว่า HUB ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อสายสัญญาณที่มาจากเครื่องต่าง ๆ ในเครือข่าย และควบคุมเส้นทางการสื่อสารทั้งหมด

อุปกรณ์เครือข่ายคอมพิวเตอร์
"เน็ตเวิร์คการ์ด"
          เน็ตเวิร์คการ์ด เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย ส่วนใหญ่เรียกว่า NIC (Network Interface Card) หรือ LAN Card อุปกรณ์เหล่านี้จะทำการแปลงข้อมูลเป็นสัญญาณที่สามารถส่งออกไปตามสายสัญญาณให้ส่งไปตามสายสัญญาณหรือสื่อแบบอื่นก็ได้ ปัจจุบันมีการแบ่งการ์ดออกเป็นหลายประเภท ซึ่งถูกออกแบบให้สามารถใช้ได้กับเครือข่ายแบบต่าง ๆ เช่น อีเธอร์เน็ตการ์ด โทเคนการ์ด เป็นต้น
          เน็ตเวิร์คการ์ดจะติดตั้งอยู่กับคอมพิวเตอร์ โดยเต้าเสียบเข้ากับช่องบนเมนบอร์ดของคอมพิวเตอร์ ส่วนมากคอมพิวเตอร์ที่ผลิตอยู่ในปัจจุบันจะมีเฉพาะช่อง PCI ซึ่งใช้บัสที่มีขนาด 32 บิต

มาตรฐาน IEEE 802.3
          เป็นมาตรฐานที่ออกมาสำหรับระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณแบบ CSMA/CD ต้นกำเนิดของมาตรฐานนี้มาจากระบบอะโลฮ่า (Aloha) ซึ่งได้รับการเพิ่มขีดความสามารถโดยบริษัท Xerox ได้รับการตั้งชื่อว่า "อีเธอร์เน็ต (Ethernet) "
          บริษัท Xerox,DEC ( Digtal Equipment Corporation, Ltd.) และ inter Crop ได้ร่วมกำหนดมาตรฐานสำหรับอีเธอร์เน็ตที่ความเร็ว 10 Mbps ซึ่งเป็นพื้นฐานของ 802.3 ข้อแตกต่างที่สำคัญคือ มาตรฐาน IEEE 802.3 ได้กำหนดไว้สำหรับการสื่อสารแบบ CSMA/CD ทำงานที่ความเร็ว 1-10 Mbps บนสายสื่อสารชนิดต่าง ๆ เช่น กำหนดค่าตัวแปรไว้สำหรับสื่อสารทีความเร็ว 10 Mbps บนสายโคแอ็กซ์ (Coaxail) ขนาด 50 โอห์มเท่านั้น ค่าตัวแปรสำหรับตัวเลือกอื่น ๆ ได้รับการกำหนดเพิ่มเติมในภายหลัง

มาตรฐาน IEEE 802.5
          เป็นระบบเครือข่ายวงแหวนได้รับการพัฒนาขึ้นมาใช้งานทั้งในระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณและระบบเครือข่ายวงกว้าง สายสื่อสารอาจเป็นแบบธรรมดา เช่น สายคู่ตีเกลียว สายโคแอกซ์ หรือสายใยแก้วก็ได้ สัญญาณที่ใช้ในระบบนี้อาจเป็นดิจิตอลหรืออนาล็อคก็ได้ IEEE จึงออกมาตรฐานรับรอง โดยกำหนดหมายเลขเป็น 802.5 ข้อพิจารณาหลักของระบบเครือข่ายวงแหวนคือ การกำหนดระยะเวลาหรือความยาวของการส่งสัญญาณแต่ละบิต

มาตรฐาน IEEE 802.11
           เป็นมาตรฐานของการรับส่งข้อมูล โดยอาศัยคลื่นความถี่ ตัวอย่างของการใช้งาน เช่น Wirless Lan หรือ Wi-Fi และอีกทั้งยังถูกพัฒนาต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ดังนี้
          มาตรฐาน IEEE 802.11a เป็นมาตรฐานแรกที่ได้รับการประกาศออกมา โดยอาศัยการส่งข้อมูลในช่วงคลื่น 5 GHz ซึ่งเป็นคลื่นความถี่สูง ทำให้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงตามไปด้วย โดยมีความสามารถในการรับส่งข้อมูลได้สูงสุดที่ 54 Mbps แต่ในช่วงแรกบางประเทศไม่อนุญาตให้ใช้งาน เนื่องจากคลื่นความถี่ 5 GHz นั้น ไม่ใช่ความถี่สาธารณะจำเป็นต้องได้รับอนุญาตเสียก่อน
          มาตรฐาน IEEE 802.11b เป็นมาตรฐานที่ออกมาพร้อม ๆ กับ 802.11a เพียงแต่ใช้คลื่นความถี่ที่ 2.4 GHz ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ที่ต่ำกว่า จึงทำให้มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลช้ากว่า โดยมรความมสามารถในการรับส่งข้อมูลที่สูงที่สุดที่ 11 Mbps เท่านั้น แต่เนื่องจากคลื่นความถี่ 2.4 เป็นคลื่นความถี่สาธารณะ จึงสามารถนำไปใช้งานได้ในทุก ๆ ประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตก่อน แต่เนื่องจากเป็นคลื่นความถี่สาธารณะ ดังนั้นอุปกรณ์ไร้สายอื่น ๆ ที่ใช้คลื่นความถี่เช่นเดียวกันจึงทำให้เกิดสัญญาณรบกวนกันได้ง่ายมาก ทำให้ประสิทธิภาพของมาตรฐานนี้ลดทอนด้วยปัจจัยสภาพแวดล้อม
          มาตรฐาน IEEE 802.11g เป็นมาตรฐานที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจาก 802.11b โดยยังคงใช้คลื่นความถี่ 2.4 GHz แต่มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 54 Mbps หรือเท่ากับมาตรฐาน 802.11a เพียงแต่ว่าความถี่ 2.4 GHz ยังคงเป็นคลื่นความถี่สาธารณะอยู่เหมือนเดิม ดังนั้นจึงยังมีปัญหาเรื่องของสัญญาณรบกวนจากอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นความถี่เดียวกันอยู่
          มาตรฐาน IEEE 802.11n มาตรฐานนี้ยังไม่ถือว่าเป็นมาตรฐานจริง ๆ เนื่องจากยังไม่ได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ เพราะยังคงอยู่ในช่วงระหว่างการพัฒนา ซึ่งเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ด้วยการใช้เทคโนโลยีมากมายเข้ามาช่วยเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูลให้สูงขึ้น โดยจะมีความเร็วอยู่ที่ 300 Mbps นอกจากนี้ยังมีระยะพื้นที่ให้บริการกว้างขึ้น โดยเทคโนโลยีที่ 802.11n นำมาใช้ก็คือเทคโนโลยี MIMO ซึ่งเป็นการรับส่งข้อมูลจากเสาสัญญาณหลาย ๆ ต้นพร้อม ๆ กันทำให้ได้ความเร็วสูงมากขึ้น และยังใช้คลื่นความถี่แบบ Dual Brand คือทั้ง 2.4 GHz และ 5 GHz ซึ่งทำให้บางประเทศทียังไม่ได้ให้ใช้เครือข่ายไร้สายมาตรฐาน 802.11n อาจมีปัญหากับการใช้งานเครือข่ายไร้สายมาตรฐาน 802.11n ได้
         

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ประวัติส่วนตัว



ชื่อ    นางสาวเพียงระวี  ทองปรีชา
ชื่อเล่น   แพร        วันเกิด   20 มิถุนายน 2533        อายุ    20  ปี   
ที่อยู่    109/1  หมู่5  ตำบลดอนขุนห้วย   อำเภอชะอำ
            จังหวัดเพชรบุรี   76120
การศึกษา     ศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3  หลักสูตรการบริหารธุรกิจ
                     (คอมพิวเตอร์ธุรกิจ) คณะวิทยาการจัดการ 
                     มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต

โทร.  083-6954187
E-mail  pearrykayounjung@hotmail.com 

วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553

บุคลิกภาพสไตล์ BIZCOM


"บุคลิกภาพ ไม่ใช่แค่แต่งตัวดี"
              
         มีความเข้าใจผิดว่า การแต่งกายดีๆ ก็ทำให้บุคลิกภาพดีได้แล้ว ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น การแต่งกายดูดีเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพต่างหาก ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะต่อให้คุณแต่งกายดีวิเศษแค่ไหน หากถ้อยคำหรือการกระทำของคุณมันไม่ชวนฟังชวนดูเอาเสียเลย เครื่องแต่งกายก็ช่วยไม่ได้


             ในทางที่ถูกคือ เมื่อคุณแต่งกายดีงาม คุณควรรู้ตัวเสมอว่าคนทั่วไปจะให้ความสนใจกับคุณเป็นพิเศษอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น การแต่งกายดีต้องเป็นสิ่งที่เตือนใจคุณให้ระวังกิริยาวาจาให้มากขึ้น ไม่ใช่ทำให้คุณปล่อยตัวตามสบาย นึกจะพูดจะทำอะไรก็ทำโดยไม่ยั้งคิด เพราะมั่นใจว่าฉันแต่งตัวดีอย่างนั้นต้องบอกเลยว่า คุณมีโอกาสพลาดได้มากทีเดียว
              เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ชาว BIZCOM ทั้งหลายควรแต่งกายให้ดูดี เหมาะสมกับกาละเทศะและสถานที่ เพื่อให้ดูสง่างาม นอกจากนี้แล้วยังต้องระวังคำพูดและกริยาท่าทางให้สุภาพอยู่ตลอดเวลาด้วยนะคะ เพื่อไม่ให้โดนต่อว่า ว่างามแต่รูปนะคะ

ลูกแรดเตรียมพร้อมล่าเหยื่อ

สิ่งที่ได้รับจากการเรียนวิชา การเตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพบริหารธุรกิจ3 ดังนี้


         การเรียน ครั้งที่ 1 วันที่ 23 มิ.ย. 53  จากที่ อ.สาระ มีผลกิจ  มาเป็นวิทยากร บรรยายให้ทราบถึงประวัติของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ทำให้เรามีความรู้ในเรื่องราวของมหาวิทยาลัยมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการชี้แจงในเรื่องของการเข้าเรียน และเกณฑ์คะแนนต่างๆให้ทราบ


         การเรียน ครั้งที่ 2 วันที่ 14 ก.ค. 53 ผ.ศ.โรจนา ศุขะพันธ์ ได้บรรยายในเรื่องการพัฒนาบุคลิกภาพและธนาคารความดี ทำให้เราได้รับรู้งถึงบุคลิกภาพที่ดี ที่ควรปฏิบัติ ความสำคัญของบุคลิกภาพ คุณลักษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์ และแนวทางการพัฒนาบุคลิกภาพของตนเพื่อความสำเร็จ นอกจากนี้ยังกล่าวถึงทิศ 6 คือหลักธรรมที่สอนให้เราปฎิบัติต่อบุคคลรอบด้านอย่างถูกต้องและดีตามหลักธรรม ทำให้เราวางตัวได้ถูกต้อง เหมาะสมกับกาละเทศะ


        การเรียน ครั้งที่ 3 วันที่ 28 ก.ค. 53 คุณกษม ภูติจินดานันท์  เป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ การบริหารการเงินส่วนบุคคล ทำให้เรารู้จักกับการวางแผนการเงิน เพื่อการออมเงินในอนาคต และทำให้เรารู้จักวิธีการออมเงินให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้


       การเรียน ครั้งที่ 4 วันที่ 25 ส.ค. 53 อ.ปรีชา  ร่วงลือ อาจารย์ฝ่ายประถมโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ เป็นวิทยากรบรรยายเรื่อง ภาษาไทยที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้เราทราบถึงหลักการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง และวิธีการเขียนภาษาไทยที่ถูกต้อง


      การเรียน ครั้งที่ 5 วันที่ 1 ก.ย. 53 การเสวนาธรรม เรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพกับธรรมะ โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม และคุณมนัส ตั้งสุข จากการเสวนาธรรมครั้งนี้ทำให้เราสามารถนำหลักธรรมต่างๆมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน และเป็นแนวทาง แนวคิดในการตัดสินใจกระทำการต่าง ๆ ให้ถูกต้องและเหมาะสม